จะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลา ”เปลี่ยนงาน” เเล้ว?!
หากจะกล่าวว่าการทำงานหลอมหลวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นการเปลี่ยนงานจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายเรื่องที่สำคัญที่ต้องพิจารณา นอกจากนี้ การเปลี่ยนงานยังสำคัญต่อเส้นทางสายอาชีพที่คุณกำลังจะเดินไปอีกด้วย ที่ทำงานแต่ละที่มีส่วนช่วยพัฒนาทักษะ ประสบการณ์การทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณควรจะเปลี่ยนงานดีหรือไม่? เปลี่ยนตอนนี้เลยจะดีไหม? หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาที่จะเปลี่ยนงานแล้ว? ลองมาเช็กสัญญาณต่อไปนี้ดูเพื่อช่วยคุณตัดสินใจ
1. ทำงานที่ไม่ตรงกับความสนใจ
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะเลือกทำงานที่ตรงกับทักษะและความต้องการของตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะทำงานในสายงานที่ไม่ตรงกับทักษะของตนเอง เช่น บางคนที่เก่งในเรื่อง Software Development แต่อาจไปทำงานในส่วนของ Sales Department ไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่จะทำงานไม่ตรงกับทักษะที่มี อีกทั้งในหลาย ๆ บริษัทเองก็ยินดีที่จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ไม่ตรงกับความสนใจเป็นความท้าทายและสร้างความเครียดให้ไม่น้อยเลย สิ่งที่ควรทำคือ การหมั่นวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพในการทำงานและดูว่าทุกอย่างที่คุณกำลังอยู่นี้เป็นไปอย่างราบรื่นบนเส้นทางที่คุณคาดหวังไว้ หลังจากนั้นถ้าคุณมองว่าคุณอยากจะเปลี่ยนไปทำงานที่ตรงกับความสนใจของคุณจริง ๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องลังเลอีก
2.นั่งฝันหวานถึงงานใหม่
คุณอาจจะเคยได้ยินใครสักคนพูดว่า “ถ้าคุณพอใจกับงานที่ทำอยู่ ก็แทบจะไม่มานั่งฝันหวานถึงงานใหม่เลย” หรือแทบจะไม่มีความคิดที่จะเปิดหางานในเว็บไซต์หางานออนไลน์ด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้น การฝันหวานหรือฝันกลางวันถึงงานใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนไม่พอใจกับงานที่กำลังทำอยู่เสมอไป สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อนักวิจัยสองคนจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ และจาก Pontificia Universidad Católica ในเปรูค้นพบว่า การฝันกลางวันมีประโยชน์ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่มีความเป็นมืออาชีพและให้ความใส่ใจในงานที่กำลังทำอยู่
การฝันกลางวันสามารถเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างเส้นทางสายอาชีพหรือการเติบโตในหน้าที่การงานให้แก่พนักงานได้ รวมไปถึงช่วยในการตั้งเป้าถึงสิ่งที่พวกเขาคาดหวังกับตัวบริษัท แน่นอนว่าพนักงานยังคงสามารถที่จะฝันหวานถึงงานใหม่ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลองปรึกษากับหัวหน้างานของคุณถึงความคาดหวังในฝันของคุณ เพื่อที่จะหาทางออกร่วมกันกับบริษัทก่อนที่คุณจะคิดถึงเรื่องลาออก
3. ระดับความเครียดและปัญหาสุขภาพที่
เพิ่มสูงขึ้น
สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต ทุก ๆ บริษัทสามารถสร้างให้เกิดความเครียดได้ทั้งนั้น ดังนั้น เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเครียดและถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับบางสายงานอย่างเช่น นักกฎหมาย ผู้จัดการฝ่าย IT นักบัญชี หรือแม้แต่ผู้จัดการฝ่ายขาย แน่นอนว่าสายงานเหล่านี้ยากที่จะเลี่ยงความเครียด แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องรับมือกับความเครียดให้ได้ เพื่อที่จะลดระดับความเครียดและปัญหาสุขภาพลง มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณเครียดน้อยลงในระหว่างงานได้ เช่น ฟังเพลง ดูคลิปตลก นั่งสมาธิ หรือจุดเทียนหอมเพื่อการผ่อนคลาย มันไม่ดีเลยหากคุณเครียดและเหนื่อยล้าจากการทำงานสะสม เพราะอาจเป็นโรคเครียดสะสมซึ่งทำให้ส่งผลต่อการจัดการอารมณ์และระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้
4. รู้สึกไม่มีค่า
พนักงานทุกคนล้วนแล้วแต่มีค่าในหน้าที่ของตัวเอง และแน่นอนว่าบริษัทเองก็เล็งเห็นถึงคุณค่าของทุกคน ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกไม่มีค่าในตอนที่ไม่มีใครชมว่าคุณทำงานได้ดีอย่างที่คุณคาดหวังไว้ หรือคุณอาจรู้สึกแย่เมื่อทีมไม่พิจารณาไอเดียของคุณ เราทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกแบบนี้กันตลอดเวลา และทุกคนก็สมควรที่รู้สึกดีไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เต็มที่กับงาน คุณรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องการอะไร และคุณมีค่าเสมอ ถ้าบริษัทที่คุณกำลังทำอยู่นี้ไม่สามารถให้โอกาสคุณได้ลองทำตามไอเดียของคุณหรือคุณคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าคุณลาออก คุณก็อาจลองมองหาบริษัทใหม่ที่คุณสามารถใช้ไอเดียของคุณได้อย่างเต็มที่บรรยากาศและเจ้านายที่ Toxic
5.มีแวดล้อมและเจ้านายที่ Toxic
น่าเศร้าที่ต้องพูดว่าเจ้านายที่เป็นพิษส่งผลต่อความเป็นมืออาชีพของคุณในอนาคต รวมถึงการทำงานที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศแย่ ๆ สามารถสร้างความลำบากให้กับชีวิตในที่ทำงานและยังส่งผลต่อสุขภาพจิตได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามคุณไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าคุณมีเจ้านายที่แย่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษจนกว่าคุณจะได้ร่วมงานด้วย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสุดวิสัย
ถ้าคุณกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่เป็นพิษเหล่านี้ ก่อนอื่นให้ลองพยายามรับมือ ยกตัวอย่างเช่น การบันทึกเก็บรายละเอียดเมื่อคุณพบว่าคุณกำลังตกเป็นเป้าของการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือพฤติกรรมที่ส่อแววไม่ดี นอกจากนี้อย่าได้เปิดโอกาสให้กับเจ้านายหันมาเริ่มเล่นงานคุณ การรับมือกับผู้คนที่เป็นพิษแบบนี้เป็นงานที่หนัก แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำเพื่อที่คุณจะสามารถมีโอกาสที่ได้ที่ทำงานที่ดีขึ้นและช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นด้วย และถ้าคุณได้ลองรับมือดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็ให้พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนงานดู
คำแนะนำสำหรับการเปลี่ยนงาน
หลังจากที่ได้พิจารณาเป็นอย่างดีแล้ว และคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนงานใหม่ ขั้นต่อไปที่คุณจะต้องทำคือการวางแผนสำหรับงานใหม่ เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมได้ดียิ่งขึ้น เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก
- ร่างรายละเอียดงานในฝันของคุณ: ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง จุดแข็งของคุณ ความสนใจ รวมไปถึงเรื่องที่คุณชอบและไม่ชอบกับงานในปัจจุบันของคุณ รายละเอียดเหล่านี้จะช่วยเป็นไกด์ในการค้นหางานในฝันของคุณ
- ปรับเนื้อหาใน CV หรือ Resume ให้สดใหม่: อัปเดตทุกอย่างให้เป็นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทั้งหมด คอร์สเทรนนิ่งต่าง ๆ และทักษะทั้งหมดที่คุณมีก่อนที่จะสมัครงานใหม่ เพราะทุกอย่างใน CV หรือ Resume ของคุณ เพื่อให้ทาง HR คัดกรองได้ดีขึ้นว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งนี้
- เริ่มอัปเดตความรู้ที่คุณมี: อัปเดตเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่คุณกำลังทำงานอยู่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และอื่น ๆ ที่จะทำให้คุณมั่นใจว่าคุณไม่ตกเทรนด์ และยังดีกับการสัมภาษณ์งานอีกด้วย
- คุยกับบริษัทจัดหางาน: บริษัทจัดหางานที่ดีจะช่วยคุณในเรื่องของข้อมูล เงินเดือนที่คาดหวัง ทักษะที่ต้องการ รวมถึงข้อแนะนำดี ๆ สำหรับการหางาน
- สร้างตัวตนในออนไลน์: โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Linkedin คุณต้องติดต่อกับบริษัทและอย่าลืมที่จะโพสต์บทความที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสายงานของคุณและสิ่งที่คุณสนใจเพื่อบูสจำนวนคนเข้าชมโปรไฟล์ของคุณ
แหล่งข้อมูล: Source 1, Source 2, Source 3, Source 4