AI มีบทบาทอย่างไรในวงจรชีวิตของพนักงาน ตั้งแต่วันแรกถึงวันที่พวกเขาเติบโต

เราเคยพูดไปบ้างแล้วใน บทความนี้ ว่า AI ถูกนำมาใช้ในแต่ละขั้นตอนของ Talent Cycle อย่างไรบ้างในแง่มุมจริยธรรม ซึ่งการที่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นทำให้บทบาทหน้าที่ของ HR ต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการดึงดูด สรรหา และจ้างงาน ไปจนถึงการพัฒนาทักษะ การดูแลความเป็นอยู่ ตลอดจนการวางแผนพัฒนาทักษะเพื่อไปพนักงานเหล่านั้นก้าวหน้าและเติบโตกลายเป็นผู้นำในอนาคต ซึ่งเริ่มได้โดย
การสรรหาและการจ้างงานที่ชาญฉลาด
เส้นทางในการได้คนเก่งที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการมาร่วมงานด้วยนั้นเริ่มต้นที่การสรรหา และ AI คือสิ่งที่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการนี้จากวิธีการเดิม ๆ ที่ต้องใช้เวลานานและอาจทำให้พลาดผู้สมัครที่เก่งกาจไป ผ่านการสแกนข้อมูลของผู้สมัครจำนวนมากจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อค้นหาคนที่ตรงกับตำแหน่งงานนั้นจริง ๆ อย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีที่เป็นกุญแจสำคัญในส่วนนี้คือ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ที่สามารถวิเคราะห์เรซูเม่ของผู้สมัครเป็นพัน ๆ ไฟล์ได้ภายในไม่กี่นาที โดยทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจถึงบริบท ทักษะ และคุณสมบัติของผู้สมัคร มากกว่าทำการแมตช์คีย์เวิร์ดง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น NLP สามารถรับรู้ได้ว่า “การจัดการไทม์ไลน์ของโครงการ” หรือ “การนำทีมทำงานข้ามสายงาน” เป็นทักษะที่มีความสำคัญมาก ๆ สำหรับตำแหน่งงานในสาย Project Management แม้จะไม่มีคีย์เวิร์ดตรงกันแบบเป๊ะ ๆ ก็ตาม ระบบนี้จึงช่วยให้สามารถสร้าง Talent Pool ของกลุ่มผู้สมัครที่มีความหลากหลายและมีคุณภาพได้ภายในเวลาอันสั้น
การปฐมนิเทศและเส้นทางการเรียนรู้แบบสำหรับพนักงานแต่ละคน
เมื่อผู้สมัครได้รับการว่าจ้าง AI จะเปลี่ยนบทบาทไปสู่การช่วยพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่ง AI สามารถปรับแต่งประสบการณ์ในการปฐมนิเทศหรือ Onboarding โดยจัดเตรียมข้อมูลและสิ่งต่าง ๆ ตามตำแหน่งและทีมของพนักงานใหม่แต่ละคน นอกเหนือจากการปฐมนิเทศ AI ของแพลตฟอร์มการเรียนรู้ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผลการปฏิบัติงาน ช่องว่างทางทักษะ และความต้องการในการเติบโตของพนักงาน เพื่อแนะนำหลักสูตร การฝึกอบรม รวมถึงช่วยแนะนำพี่เลี้ยงหรือโค้ชเพื่อคอยให้คำปรึกษาในการทำงาน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นผลดีต่อองค์กรอีกด้วย
รักษาพนักงานเอาไว้ด้วย Predictive Analytics
บางทีแล้วความสามารถที่เจ๋งที่สุดของการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในงาน HR คือการที่มันสามารถคาดการณ์อนาคตได้ Predictive Model for Churn หรือ Churn Prediction คือตัวอย่างที่ดี โมเดลนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เช่น ระยะเวลาที่พนักงานทำงานกับองค์กร ผลการปฏิบัติงาน ค่าตอบแทน ผลการทำแบบสำรวจการมีส่วนร่วมของพนักงาน เพื่อหารูปแบบและแนวโน้มที่ระบุได้ถึงความเสี่ยงที่พนักงานอาจจะลาออก ซึ่งทีม HR สามารถนำข้อมูลอินไซต์เหล่านี้เพื่อเข้าไปช่วยเหลือหรือจัดการในเรื่องนี้ได้อย่างทันท่วงที
ในทำนองเดียวกัน AI ยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าพนักงานคนไหนคู่ควรที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกด้วย ผ่านการวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงาน ความสามารถในการเป็นผู้นำ รวมถึงเส้นทางในการเติบโตในสายงานของพนักงาน AI จะสามารถระบุได้ว่าพนักงานคนไหนมีความพร้อมและมีศักยภาพสูงพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจที่จะช่วยให้พนักงานอยู่กับองค์กรต่อไป
สัมผัสความเป็นมนุษย์ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI
แม้ AI จะมีความสามารถที่น่าทึ่ง แต่อย่างที่เราได้เคยย้ำเอาไว้แล้วว่า AI เป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาแทนมนุษย์ในงาน HR การใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพที่สุดคือการช่วยเสริมบทบาทและสนับสนุนงานของทีมผ HR ต่างหาก และแม้ AI สามารถจัดการกับการวิเคราะห์ข้อมูล การคัดกรองเรซูเม่จำนวนมหาศาล และระบุแนวโน้มต่าง ๆ ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว HR คือผู้ที่ต้องตีความข้อมูลเหล่านี้ มีส่วนร่วมในบทสนทนาที่แสดงความเข้าอกเข้าใจ และทำการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายโดยยึดให้คนเป็นศูนย์กลาง
AI ช่วยให้ความชัดเจนกับ HR ในการคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ผ่านข้อมูลอินไซต์ที่น่าเชื่อถือเพื่อยกระดับกระบวนการสรรหาและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้สมัครตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการเป็นพนักงาน หรือแม้กระทั่งการรักษาพนักงานเอาไว้ด้วยการจูงใจอย่างการเลื่อนตำแหน่งหรือสืบทอดตำแหน่งต่อจากคนที่กำลังจะจากไป และแน่นอนว่าหัวใจสำคัญในทุกขั้นตอนก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ ที่จะต้องทำความเข้าใจข้อมูลที่ได้รับ ไปจนถึงการใส่ใจความรู้สึกของพนักงาน Talent Cycle ในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับการนำ AI มาใช้งานอย่างชาญฉลาดและทีม HR ที่เก่งกาจที่มีความตั้งใจจะช่วยเหลือเหล่าผู้สมัครและพนักงานอย่างเต็มความสามารถ
และเพื่อให้คุณคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือ AI ลองทำความรู้จักกับ GetLinks AI Career Coach ของเราก่อนได้ที่นี่ getlinks.com/ai
